
ขาย RMF เมื่อเกษียณอย่างไร : ต้องขายหมด หรือแบ่งได้ แล้วถ้าซื้อเพิ่มล่ะ ?
29/08/2025
เกษียณในเมืองเล็ก ดีกว่าเมืองใหญ่ไหม ?
12/09/2025
เผยแพร่เมื่อ : 11 กันยายน 2568
เมื่อราว 20 ปีที่แล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่มีเป้าหมายอยากจะเกษียณเร็ว หรือที่ในยุคนี้เรียกกันว่าแผนเกษียณแบบ F.I.R.E. ซึ่งย่อมาจาก Financial Independent Retire Early
ในวันนั้น มันช่างเป็นภาพฝันที่สุดยอด มันมีชีวิตชีวา มันเป็นแรงผลักดันให้ผมเริ่มต้นทำอะไรหลายอย่าง เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย อดทนได้กับหลายๆ เรื่อง ในที่สุดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมก็ลาออกจากงานประจำได้จริง และมาใช้ชีวิตแบบที่ "คิดว่า" มีอิสรภาพทางการเงินอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่ปัจจุบัน ณ วันที่เขียนบทความนี้ ผมก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้นแล้วนะครับ ทุกวันนี้ผมกลับมาทำงานหนัก แบบที่สนุกกับมัน และไม่ได้คิดอยากจะหยุดทำ รู้สึกมีความสุขเวลาที่มีรายได้จากการทำงานเข้ามา ยังอยากเติมเงินในพอร์ตให้มากขึ้นเรื่อยๆ และใช้ Passive Income จากพอร์ตให้น้อยที่สุด โดยไม่กล้าเรียกขานภาวะที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่นี้ ว่ามันคืออิสรภาพทางการเงินแล้ว
ถ้าจะนิยามภาวะนี้ ก็คือภาวะที่เรามีห่วงเรื่องเงินน้อยลง และตัดสินใจต่างๆ โดยเป็นอิสระจากเงินได้มากขึ้นเพียงเท่านั้น
คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมแผนเกษียณแบบ F.I.R.E. ที่วาดไว้ในวันวาน ถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้
เหตุผลหลัก : คือมุมมองที่คับแคบในช่วงวางแผน
ผมเชื่อว่าแทบทุกคนที่วางแผนเกษียณแบบ F.I.R.E. นั้น มักจะคิดเรื่องนี้ในตอนที่อายุยังน้อย ประสบการณ์ชีวิตยังไม่มาก ผมเองก็ไม่ต่างกันครับ ในวันที่เริ่มวางแผนนั้น
- เรามักจะคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้คิดถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ อีกมากมาย
- ค่าใช้จ่ายก็ประเมินไว้หลวมๆ ไม่ได้ใส่ความสมจริง และการที่มันจะเปลี่ยนแปลงได้เข้าไป
- เรามักคิดว่าสุขภาพเราจะดี คงกระพัน รวมถึงสุขภาพของพ่อแม่ และคนรอบตัวเราด้วย
- เรามองโลกรอบตัวง่ายๆ เปลี่ยนแปลงไม่มาก ซึ่งจริงๆ 10-20 ปีผ่านไป โลกมันเปลี่ยนเยอะมากๆ
- เราคิดถึงเรื่องทางใจ เรื่องทางความรู้สึกน้อย ให้ความสำคัญกับตัวเลขเสียมาก
- สนใจคำว่า "อิสระ" โดยยังไม่คิดมากมายว่าจะเอาอิสระนั้น "ไปใช้ทำอะไร"
ผลคือ เราก็มักจะวางแผนเป็นตัวเลขแบบง่ายๆ เช่น
- เก็บเงินให้ได้ 25 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปี
- เพื่อที่จะได้นำเงินนั้นไปลงทุน แล้วถอนใช้ปีละ 4%
- เท่านี้ก็จะมีเงินเพียงพอใช้จ่ายไปยาวๆ จบเกมส์การเงินได้เร็ว
ถ้าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท หรือปีละ 600,000 บาท ก็ต้องมีพอร์ตขนาด 600,000 x 25 = 15,000,000 บาท ซึ่งเมื่อมีพอร์ตขนาดนี้แล้ว หากนำไปลงทุน และถอนใช้ปีละ 4% ก็จะคิดเป็น Passive Income คือ 15,000,000 x 4% = 600,000 บาท/ปี นั่นเอง
ปัญหา : คือยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่เข้ามาส่งผล
ซึ่งหลายอย่าง เราจะยังไม่รู้ล่วงหน้า แต่จะค่อยๆ รู้เมื่อเวลาผ่านไป โดยบางเรื่องพอรู้แล้วก็อาจจะเริ่มแก้ไขได้ยากแล้ว ซึ่งผมจัดเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- ความเสี่ยงจากการลงทุน
- ความท้าทายของชีวิตและไลฟ์สไตล์
- ตัวตน สังคม และความหมายของชีวิต
โดยจะขอเขียนเรียงไปทีละกลุ่ม ให้ทุกท่านได้เรียนรู้ไปด้วยกันนะครับ
1. ความเสี่ยงจากการลงทุน
ในที่นี้จะขอไม่เน้นความเสี่ยงในตอนที่สะสมเงินหรือที่เรียกว่าช่วง Accumulation แต่จะขอมุ่งไปที่ความเสี่ยงในช่วงที่ต้องถอนใช้เงิน หรือช่วง Decumulation เลย ซึ่งช่วงนี้มักมีลักษณะดังนี้ครับ
- เราเตรียมเงินไว้ได้ก้อนใหญ่ตามเป้า หรือเกินเป้าเล็กน้อย
- ตัดสินใจยุติหรือลดรายได้จากงานหลัก เช่น ลาออก หรือลดการทำงานลงมาก
- เริ่มปรับพอร์ตการลงทุน เข้าสู่โหมดของการสร้าง Passive Income แบบจริงจัง
ซึ่งหากสร้างพอร์ตตามโจทย์ที่เคยวางแผนว่าจะถอนใช้ไม่เกินปีละ 4% ต่อปีนั้น ความเสี่ยงจากการลงทุนก็อาจจะไม่ได้น่ากังวลมากนัก แต่หลายๆ คนพอถึงเวลาจะต้องจัดพอร์ตแบบนี้ก็จะเริ่มตระหนักว่า ลงทุนให้ได้เพียง 4% นั้นไม่เพียงพอ เพราะมันยังต้องชดเชยเงินเฟ้อได้ด้วย
จากตัวอย่างที่ผมยกไว้ข้างต้นว่า พอร์ต 15,000,000 x ผลตอบแทน 4% = Passive Income 600,000 บาท/ปี นั้น หากลงทุนได้ผลตอบแทน 4% ต่อปี แล้วนำมาใช้จ่ายจนหมด พอครบปี พอร์ตก็จะมีมูลค่า 15,000,000 บาทเท่าเดิม
ถ้าปีต่อๆ ไปทำซ้ำแบบเดิมอีก พอร์ตก็จะมีมูลค่า 15 ล้านบาทไปเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รายจ่าย 600,000 บาทนั้น มันจะไม่นิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะโลกนี้มีเงินเฟ้อ และเงินเฟ้อที่เกิดในช่วงที่เรายุติรายได้จากงานประจำไปแล้ว มันชวนให้น่ากลัวจริงๆ เพราะตอนทำงานอย่างน้อยๆ เงินเดือนก็ยังขึ้นตามเงินเฟ้อ แต่ถ้าเกษียณแล้วเราใช้เงินเพิ่มเรื่อยๆ โดยที่พอร์ตสร้างผลตอบแทนสู้ไม่ทัน วันหนึ่งเงินก็จะหมดลง
แปลว่าถ้าจะให้ยั่งยืน Passive Income ก็ต้องออกแบบให้ปรับขึ้นตามเงินเฟ้อด้วย แปลว่า การลงทุนให้ได้เพียง 4% อาจไม่พอ ถ้าประเมินว่าเงินเฟ้อประมาณ 3% ต่อปี ก็ควรต้องลงทุนให้ได้สัก 4% + 3% = 7% ต่อปี หากทำได้ ผลลัพธ์จะเป็นดังนี้ครับ
- ปีแรก
พอร์ตมูลค่า 15,000,000 บาท ลงทุนได้ 7%
แบ่งใช้ 4% คิดเป็น 15,000,000 x 4% = 600,000 บาท
คงไว้ในพอร์ต 3% คิดเป็น 15,000,000 x 3% = 450,000 บาท
จบปีเงินเหลือในพอร์ต 15,450,000 บาท - ปีที่สอง
พอร์ตมูลค่า 15,450,000 บาท ลงทุนได้ 7%
แบ่งใช้ 4% คิดเป็น 15,450,000 x 4% = 618,000 บาท
คงไว้ในพอร์ต 3% คิดเป็น 15,450,000 x 3% = 463,500 บาท
จบปีเงินเหลือในพอร์ต 15,913,500 บาท - ปีที่สาม
พอร์ตมูลค่า 15,913,500 บาท ลงทุนได้ 7%
แบ่งใช้ 4% คิดเป็น 15,913,500 x 4% = 636,540 บาท
คงไว้ในพอร์ต 3% คิดเป็น 15,913,500 x 3% = 477,405 บาท
จบปีเงินเหลือในพอร์ต 16,390,905 บาท - ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ทุกปี
ซึ่งจากตัวอย่าง จะเห็นว่า Passive Income จะปรับเพิ่มตามเงินเฟ้อได้ คือ
- ปีแรก : 600,000 บาท
- ปีที่สอง : 618,000 บาท (เพิ่มขึ้น 3%)
- ปีที่สาม : 636,540 บาท (เพิ่มขึ้น 3%)
- ปีต่อๆ ไป : เพิ่มขึ้น 3% ไปทุกปี
ที่ว่าได้ คือได้ในทางคณิตศาสตร์นะครับ แต่ปัญหาคือการจะลงทุนเงินก้อนใหญ่หลังเกษียณ ให้ได้ผลตอบแทน 7% จริงในทางปฏิบัตินั้น จะเจอปัญหาคือ
1) ความผันผวนระหว่างปีจะสูงมาก
การลงทุนโดยคาดหวังผลตอบแทน 4% ต่อปีนั้น อาจมีสัดส่วนหุ้นในพอร์ตไม่มาก สินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ใช้มักเป็น Income Paying Asset เช่น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ กองทุนผสม กองทุนเน้น Income ต่างๆ ซึ่งถ้ามี Drawdown หรือการปรับย่อลงจากภาวะตลาดและวิกฤติต่างๆ ก็น่าจะไม่เกิน -10%
แต่การลงทุนโดยคาดหวังผลตอบแทน 7% ต่อปีนั้น ความเสี่ยงจะเป็นคนละเรื่องกันเลย เพราะมักจะต้องมีสัดส่วนหุ้นในพอร์ตมากขึ้น เช่น 60-70% ของพอร์ตเพื่อจะได้ผลตอบแทนระดับนี้ ซึ่งถ้ามี Drawdown อาจจะทำให้พอร์ตลบได้ -20% ถึง -30% เลยทีเดียว
ถ้าพอร์ตลบได้หนักขนาดนี้จริง ในตอนที่
- เราลาออกจากงานแล้ว
- เงินก้อนนี้ เป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต
- ชีวิตคุณยังต้องอาศัยเงินก้อนนี้ไปอีก 30-50 ปี (ขึ้นอยู่กับว่าคุณ F.I.R.E. ออกมาเร็วขนาดไหน)
มันจะเป็นสถานการณ์ที่สร้างความวิตกกังวลให้คุณอย่างมาก ซึ่งตรงข้ามกับ Peace-of-Mind ที่เราตั้งใจจะแสวงหา จากการรีบเกษียณเร็ว
2) เป็นการเดินเข้าสู่กับดักที่ชื่อว่า Sequence of Returns Risk
ถ้าพอร์ตแค่ผันผวน แต่เรายังไม่ต้องขาย มันก็พอจะบรรเทาความเสียหายได้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป วิกฤติต่างๆ ก็มักจะคลี่คลาย และพอร์ตเดินหน้าปรับคืนสู่ระดับเดิม และมุ่งสู่จุดสูงสุดใหม่ได้
แต่ปัญหาคือ เรายังต้องถอนใช้เงินอยู่เรื่อยๆ แปลว่าจะมีเงินบางก้อนที่เราต้องถอนหรือดึงออกมาจากพอร์ต ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ซ้ำเติมความเสียหายให้กับพอร์ตเข้าไปอีก
ฝันร้ายสุดๆ คือ เมื่อวิกฤตินั้น มาเกิดเอาช่วงแรกๆ ที่เราเพิ่งเกษียณออกมา เพราะหากปัจจัยแย่ๆ จะมาประชุมกันครบถ้วน ได้แก่
- ณ จุดนั้น พอร์ตเรามักจะใหญ่ที่สุด แปลว่าเวลาพอร์ตย่อเป็น % เท่ากัน มูลค่าพอร์ตตอนนั้นจะลงเยอะมาก เช่น พอร์ต 15 ล้านบาท ปรับลง 30% จะหายไปถึง 4.5 ล้านบาท
- ณ จุดนั้น ประสบการณ์บริหารเงินก้อนแบบ Decumulation ของเราจะยังน้อยที่สุด เพราะตลอดทางที่เราทำมา จะเน้นการสะสมเงินด้วยการรับความเสี่ยงมาตลอด ยังไม่เคยต้องบริหารพอร์ตโดยเน้นรักษามูลค่าพอร์ตเท่าใดนัก
- ณ จุดนั้น เรายังปรับตัวกับเรื่องต่างๆ ไม่ค่อยได้ พอพอร์ตพังความเครียดจะพุ่งปรี้ดได้เลย
แน่นอนว่ามันมีเทคนิควิธีการมากมาย ที่สามารถใช้จัดการกับเรื่องนี้ได้ แต่ไม่ว่าจะเรียกเทคนิคนั้นว่าอะไร ส่วนใหญ่มักจะต้องลดความเสี่ยงในการลงทุนลง ซึ่งพอลดความเสี่ยงลง ผลตอบแทนโดยรวมก็ลดลง พอผลตอบแทนลดลง ก็จะเกิดความกังวลอีกฝั่งแทนว่า แล้วเงินจะพอใช้จนวันสุดท้ายของชีวิตไหม ในเมื่อตอนนี้อายุยังน้อยอยู่เลย
2. ความท้าทายของชีวิตและไลฟ์สไตล์
ถัดจากเรื่องการลงทุนแล้ว เรายังต้องเผชิญกับปัจจัยที่มักจะ ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปจากแผนที่วางไว้ตอนอายุยังน้อย ซึ่งได้แก่
1) ตัวแปรที่ชื่อว่าครอบครัว
แผนการเงินที่เราคิดขึ้นมาคนเดียวตอนอายุ 2X ปี อาจต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเราอายุ 4X ปี จากการมีคู่ชีวิต, การมีลูก, หรือภาระในการดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราลง ล้วนเป็น ค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมการตั้งต้นของเรา
บางคนอาจคิดว่า ฉันจะอยู่เป็นโสดแน่นอน หรือ ฉันจะไม่มีลูกแน่นอน คำถามคือเราจะแน่ใจได้ยังไง ว่าเราจะไม่เปลี่ยนใจ ? เพราะถ้าเปลี่ยนใจนิดเดียว รายจ่ายที่เคยคิดว่าใช้คนเดียว 50,000 บาท/เดือน สบายๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป งานก็ลาออกมาแล้วด้วยสิ
2) Lifestyle Inflation ที่มีอยู่จริง
เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเวลาผ่านไป รสนิยมและความต้องการของเราจะเปลี่ยนไป วันที่เราวางแผน F.I.R.E. เราอาจพอใจกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย แต่ในอนาคตไม่มีอะไรรับประกันว่า
- คุณจะไม่อยากมีบ้านที่ดีขึ้น
- คุณจะไม่อยากใช้รถที่ปลอดภัยหรือใหญ่กว่าเดิม
- คุณจะไม่อยากท่องเที่ยวบ่อยขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคุณมีเวลามากขึ้นด้วยแล้ว
- ถ้าคุณมีลูก คุณจะไม่อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ อย่างนั้นหรือ
Lifestyle Inflation นี้มันจะเข้ามาซ้ำเติม Inflation ปกติที่มีอยู่แล้ว คือต่อให้ไม่ใช้จ่ายหรูหรา ค่าใช้จ่ายเดิมมันก็แพงขึ้นอยู่ในตัวแล้ว นี่ยังมีค่าใช้จ่ายรายการใหม่มาเพิ่มอีก
ซึ่งมันจะเป็นความอึดอัดสำหรับเราได้มาก เพราะสมัยที่เราวางแผนนั้น เราไม่ได้บวกค่าใช้จ่ายพวกนี้เข้าไปด้วย
3) การยึดติดกับตัวเลข จนรวน
ผลจากหลายๆ ปัจจัยข้างต้น และยิ่งถ้าคุณอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว คุณจะสับสนในตัวเองพอสมควร
- ด้านหนึ่ง คุณก็อยากให้ตัวเองและครอบครัวมีความสุข ซึ่งมันก็ต้องใช้เงิน
- ด้านหนึ่ง คุณก็รู้แก่ใจว่าถ้าใช้เยอะขึ้น เงินจะหมดลงได้เร็ว
จะเพิ่มความเสี่ยงพอร์ตก็ไม่ได้ งานก็ลาออกมาแล้ว แถมเริ่มคุ้นชินกับความสบายของภาวะเกษียณ F.I.R.E. จะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ก็ไม่กล้าอีก
ระหว่างที่คุณกำลังเครียดอยู่นั้น ในวงสนทนาของครอบครัวก็กำลังคุยกันอย่างชื่นมื่นว่า ปีหน้าไปเที่ยวไหนกันดี ?
3. ตัวตน สังคม และความหมายของชีวิต
สองด้านแรกดูจะเกี่ยวข้องกับการเงินเสียมากนะครับ แต่ด้านที่สามนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในความคิดและตัวตนของเรา ซึ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องเงินเลย เพราะแม้การเงินไม่ได้มีปัญหา แต่มันเคว้งคว้างอยู่ภายใน ก็ทำให้เราไม่มีความสุขได้ ซึ่งมีประเด็นต่างๆ ดังนี้ครับ
1) เวลาว่างที่มากเกินไปอาจกลายเป็นยาพิษ
ภาพของการตื่นมาในแต่ละวัน แบบที่สามารถจะทำอะไรก็ได้ กินอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ตามใจชอบนั้น อาจจะดูดีและชวนให้เพลิดเพลินในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีความเป็นไปได้สูงมากครับ ที่ความเบื่อหน่าย, ความเหี่ยวเฉา, และการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอาจคืบคลานเข้ามา เพราะเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันส่วนใหญ่นั้นก็ยังทำงานอยู่
อย่างตัวผมเองนั้น ตอนวางแผน F.I.R.E. คิดเอาไว้แค่เพียงว่าอยากจะออกมาสุขสบาย แต่ไม่ได้ไตร่ตรองให้ละเอียดว่า เวลาอีกตั้งหลายสิบปี ที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่นั้นจะทำอะไร เมื่อลาออกมาก็เพลินกับชีวิตแบบ F.I.R.E. อยู่ได้แค่ 2-3 เดือนแรกเท่านั้น
หลังจากนั้น เวลาในแต่ละวันมันผ่านไปแสนจะเชื่องช้า แม้จะมีเงินในกระเป๋าพอใช้ แต่ก็หดหู่จิตใจ สุขภาพร่างกายก็ค่อยๆ ถดถอย นั่งอยู่เฉยๆ ก็ปวดหัว หนังสือที่เคยชอบอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง ก็เริ่มจะอ่านไม่จบ เพราะไม่รู้จะพัฒนาตัวเองไปเพื่ออะไรอีก
ดังนั้น ตอนจะวางแผนแบบ F.I.R.E. ต้องคิดไว้เลยนะครับ ว่าจะใช้เวลาไปกับอะไร ไม่งั้นได้เคว้งกันแน่ครับ
2) ตัวตนที่ผูกอยู่กับ "งาน" นั้นหายไป
สมัยทำงานเคยมีหลายๆ ช่วงที่ผมรู้สึก เกลียดวันจันทร์ รักวันศุกร์ โดยเฉพาะในช่วงปีท้ายๆ ที่เริ่มเก็บเงินได้เยอะแล้ว ผมถึงกับคิดว่า เมื่อไรจะสิ้นสุดเสียที เราใช้แรงกายแรงใจรับใช้อะไรกันอยู่เนี่ย
แต่พอลาออกมาอยู่ว่างๆ แล้ว มันกลับย้อนนึกถึงมุมดีๆ บางมุม ที่มันเกิดขึ้นสมัยทำงาน เช่น
- การมีภารกิจอยู่เสมอ รู้ว่าช่วงไหนต้องทำอะไร มี KPI ให้พิชิต (แม้จะไม่ได้เห็นด้วยทุกข้อก็เถอะ)
- มีเพื่อนร่วมงานให้พูดคุย ได้กินข้าวกัน บ่นกัน ระบายกัน
- การได้เดินทางไปพบลูกค้า คู่ค้า ในองค์กรและสถานที่ใหม่ๆ
- การได้ภูมิใจเวลาทำงานอะไรสำเร็จ ตอนที่หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานขอบคุณหรือชมเรา
- คิดถึงช่วงที่เงินเดือนขึ้น โบนัสออก
ซึ่งทั้งหมดมันจะหายไปเลย เมื่อเราเกษียณเร็วออกมาแล้ว มันเหมือนเราต้องขับเคลื่อนตัวเองทุกอย่าง
3) หาคนที่เข้าใจเราได้ยาก
ความเคว้งคว้างที่เกิดขึ้นนั้น พอเราเอาไปพูดคุยหรือปรึกษากับคนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจ เพราะคนส่วนใหญ่นั้น ยังไม่ได้ออกมา F.I.R.E. แบบที่เราเป็น หลายคนจึงคิดว่าเราสุขสบายดีด้วยซ้ำ มันจะมีเรื่องทุกข์ได้ยังไง ก็รวยแล้วนี่
ส่วนกับคนใกล้ตัวที่บ้าน ก็กลายเป็นสงสัยว่า ทำไมเราไม่ทำอะไรเลย พอบอกว่าก็เก็บเงินไว้แล้ว เลยไม่ได้ทำอะไร ก็วนกลับมาว่า อย่างนั้นก็ดีแล้วนี่ จะนอยด์ไปทำไม
4) ครั้นจะให้กลับไปทำงานเหมือนเดิม ก็ยากแล้ว
ส่วนหนึ่งเพราะ เราคุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบที่มีอิสระทางเวลาไปแล้ว และ การออกจากงานมาสักระยะหนึ่งก็ทำให้การกลับเข้าไปใหม่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่เป็นที่ต้องการขององค์กรหรือของอุตสาหกรรมที่เคยทำงานจริงๆ อาจไม่มีตำแหน่งงานที่ค่าตอบแทนคุ้มค่าเปิดรับ
อย่างเคสของผมนั้น ช่วงแรกผมยังรับงานพิเศษ คืองานที่ปรึกษาให้กับองค์กรเดิม และงานวิทยากรอิสระตามสายงานเดิมของผมอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า งานที่ได้รับก็น้อยลง จนค่อยๆ ลดเลือนหายไป ตามระยะเวลาที่เราออกจากวงการมาในที่สุด
แล้วผมจัดการอย่างไร ?
ข้อดีอย่างหนึ่งสำหรับคนที่วางแผนและเตรียมตัวแบบ F.I.R.E. มาตลอดคือ เราจะเป็นคนที่มีทักษะในการวางแผนการเงิน/การลงทุน มากพอสมควร สิ่งที่ผมทำก็คือเริ่มวางแผนใหม่อีกรอบ โดยเรียนรู้จากข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เผชิญมา จะเรียกว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ใน Cycle ที่สองก็ว่าได้
ซึ่งการเริ่มต้นรอบใหม่นี้ ก็จะประกอบด้วยทั้ง การปรับแผนชีวิตและแผนการเงินร่วมกัน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- สื่อสารกับครอบครัวและคนสำคัญรอบข้าง เพื่อให้ทุกคนที่สำคัญกับเราเข้าใจ ว่าเดิมเป็นอย่างไร มันมีปัญหาอย่างไร และเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มีอะไรที่อยากให้ทุกๆ คนช่วย
- ไม่กลับไปทำงานประจำ แต่สร้างงานที่สอดคล้องกับ Passion ของตัวเองขึ้นมา ด้วยการที่ผมออกจากงานมานานพอสมควร ผมจึงไม่คิดจะกลับไปใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอีกแล้ว แต่ก็อยากที่จะใช้ทักษะความสามารถของตัวเองให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งมีรายได้จากมันด้วย ภารกิจหลายอย่างจึงเกิดขึ้น อาทิ
- งานทำเว็บไซต์และช่อง A-Academy ขึ้นมาใหม่จากที่ไม่ได้ปรับปรุงมานาน
- การปั้น Signature Course ของตัวเองชื่อ DIY Portfolio ซึ่งปัจจุบันสอนมา 9 รุ่นแล้ว
- การร่วมก่อตั้ง Avenger Planner ซึ่งให้บริการวางแผนการเงินอิสระแก่บุคคลทั่วไป
- การร่วมก่อตั้ง AVP Academy ซึ่งเป็นสถาบันอบรบหลักสูตรด้านวิชาชีพให้กับนักวางแผนการเงิน
- สร้างวงสังคมของตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือวงสังคมที่เกี่ยวกับงานในข้อก่อนหน้านั่นเอง เพราะในระหว่างที่เคว้งคว้างผมได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งว่า "ให้ทำสิ่งที่เราเชื่อ แต่อย่าทำคนเดียว ให้หาคนที่เชื่อแบบเดียวกันมาทำด้วยกัน" จะทำให้เราทำสิ่งนั้นได้นาน และมีชีวิตชีวา
- จัดตารางชีวิต ตารางกิจวัตรในแต่ละวัน ไม่ปล่อยให้ชีวิตล่องลอย เริ่มใช้ Google Calendar และ Task ในการจัดการชีวิตเลยว่าในแต่ละวันของสัปดาห์ ตั้งแต่เช้าถึงค่ำนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง ทั้ง เวลางาน เวลาที่ให้กับครอบครัว และ เวลาของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้ความว่างเข้ามาก่อกวนจนเคว้งเหมือนเคย
- ปรับแผนการเงิน แผนการลงทุนใหม่ ข้อนี้สำคัญมากๆ เพราะจะว่าไปก็เป็นเหตุที่ทำให้ต้องปรับแผนชีวิตใหม่ด้วย
- จากเดิมที่จะใช้ Passive Income จากพอร์ตที่เตรียมไว้แบบ F.I.R.E. เพื่อดำรงชีวิตทั้งหมด ก็เปลี่ยนมาใช้แค่บางส่วน ให้เพียงพอต่อรายจ่ายประจำพื้นฐานเท่านั้น
- เงินในพอร์ตส่วนที่เหลือ ซึ่งเป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนแรก ก็ปรับกลับไปลงทุนเพื่อให้พอร์ตโตต่อไป โดยที่มีการเติมเงินจากรายได้ที่หามาได้ด้วย
ซึ่งก็อย่างที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นบทความนะครับ ว่าทุกวันนี้คือได้กลับมาทำงานหนัก แต่ก็เป็นงานที่เราเลือกเอง อยู่ในวงสังคมแบบที่เราเลือกได้พอสมควร ชีวิตก็มีสีสันขึ้นมาก มีแรงบันดาลใจ มีความตื่นเต้นใหม่ๆ ความกระตือรือร้นอยากจะพัฒนาตนเองก็กลับมาอีก ก็ต้องขอบคุณทุกๆ อย่างที่ผ่านมา ที่ทำให้เดินทางมาถึงวันนี้
จะเรียกว่าแผนเกษียณแบบ F.I.R.E. ที่เตรียมมานั้นก็ไม่ได้สูญเปล่า แต่มันได้เติบโตเป็นรูปแบบชีวิตที่เหมาะกับเราและคนสำคัญรอบตัวมากขึ้นนั่นเอง
บทสรุป : ไม่ได้ชวนให้ล้มเลิก แต่ชวนให้ลุ่มลึก
ที่ตั้งใจเขียนมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นนั้น ก็เพื่อให้ทุกท่านที่กำลังตั้งเป้าหมายเกษียณเร็วแบบ F.I.R.E. อยู่ ได้มีข้อมูลเพื่อนำไปใช้วางแผนให้กับตัวเองได้ครอบคลุมมากขึ้นนะครับ
จากเรื่องราวของผม จะเห็นว่าการวางแผนเพียงผิวเผินนั้น แม้อาจเพียงพอให้เรามีพลังที่จะทำตามแผนไปจนดูเหมือนสำเร็จ แต่มันก็อาจจะแฝงความเสี่ยงหลายๆ อย่างเอาไว้ด้วย ซึ่งคงจะดีกว่าหากเราสามารถกำหนดสมมติฐานต่างๆ ในการวางแผนให้สมเหตุสมผลที่สุดตั้งแต่วันแรกๆ ที่วางแผน
คีย์เวิร์ดสำคัญที่สุดประโยคหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้คือ "อย่าวางแผนเกษียณเร็วเพียงเพื่อจะเกษียณ แต่ต้องตอบให้ได้ด้วยว่าเมื่อเกษียณเร็วมาแล้ว ชีวิตแบบไหนที่เราอยากจะใช้" เพราะสุดท้ายมนุษย์ไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ และมนุษย์ก็หลีกหนีความเป็นสัตว์สังคมที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่ได้เช่นกัน
และสำหรับท่านที่ทำแผนเกษียณของตนเองอยู่ และอยากได้มุมมองในการวางแผนเพิ่มเติม ผมก็อยากเชิญชวนให้ทุกท่านลองศึกษา บริการวางแผนการเงินแบบองค์รวมของ Avenger Planner ดูนะครับ การมีความเห็นจากนักวางแผนการเงิน จะช่วยให้ท่านได้รับมุมมองที่กว้างขึ้น และยังมีเพื่อนร่วมเดินทางไปยังเป้าหมายที่ยากและท้าทายด้วยครับ