ผมเพิ่งได้รู้จักคำว่า “นักวางแผนการเงิน” หรือ “ที่ปรึกษาการเงิน” เป็นครั้งแรก ก็เมื่อได้เข้ามาทำอาชีพเป็นตัวแทนประกันชีวิต เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว
ในเวลานั้น ผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เป็นคนหนุ่มไร้เดียงสา ที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตควรจะเดินไปทางไหน ไม่รู้ว่างานอะไรที่เหมาะกับตัวเอง แต่หลังจากที่ไล่สมัครงานประจำไปกว่า 100 แห่ง เนื่องจากต้องการลาออกจากงานที่เดิม ก็มีคนชักชวนให้ผมมาทำงานที่เขาบอกว่าเป็น “งานที่คอยให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนตัวแก่ลูกค้า” ดูแลพอร์ตการเงินหลายล้าน และที่สำคัญคือ “มีรายได้อย่างงาม”
“ในทีมพี่ก็มีน้องคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ประมาณ 6 เดือน
ตอนนี้ก็มีรายได้ประมาณแสนกว่าบาทต่อเดือน ดูแลพอร์ตของลูกค้าร่วมร้อยล้านแล้ว”
นั่นคือสิ่งที่คนที่ชักชวนผมเข้าสู่ “วงการนี้” ได้กล่าวไว้
แม้จะฟังดูเหมือนขายตรงชอบกล แต่ไอ้คำว่า “ที่ปรึกษาการเงิน” นี่แหละ ที่โดนใจผมอย่างจัง มันฟังดูเท่ห์ และมีเกียรติ ไม่ได้ต้องไปชวนใครมา “สร้างธุรกิจ” อย่างที่เคยถูกเพื่อนชักชวนให้ไปฟังสัมมนามาหลายครั้งหลายครา เพราะได้ทำงานที่คอยดูแลการเงินของลูกค้า แถมถ้ารายได้ดีอย่างที่ว่าจริง มันก็น่าสนใจไม่ใช่รึ ? ที่สำคัญ นั่นคือโอกาสการทำงานเดียวของผมที่เข้ามาในตอนนั้น เพราะที่อื่นๆ ที่สมัครงานไป ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาสักที่เดียว
ผมคงไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ก็ฟ้าคงลิขิตมาให้ผมทำงานนี้ตั้งแต่วันนั้น
ใช่แล้วครับ งาน “ที่ปรึกษาการเงิน” ส่วนตัวของลูกค้า ที่พี่คนนั้นบอก กลายเป็นว่ามันคืองาน “ตัวแทนประกันชีวิต” อย่างที่ผมได้จั่วหัวไปข้างต้น และพี่คนนั้นก็กลายมาเป็นหัวหน้าของผมในเวลานั้นไปเรียบร้อย
แล้วก็โชคร้าย ที่หน่วยประกันที่ผมได้เข้าไปอยู่ นำคำว่า “ที่ปรึกษาการเงิน” มาใช้แค่เพียงจูงใจให้คนเข้ามาในอาชีพเท่านั้น แต่ในเนื้องานที่ทำ มันก็คือตัวแทนประกันชีวิต “แบบดั้งเดิม” ดีๆ นี่เองล่ะ มีทั้งการขอยอด การสร้างความน่าสงสาร ความน่าเห็นใจ ใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการขาย รวมถึง Motivate กันสารพัด จนทำให้ผมพลอยหลงลืมตัว ตามน้ำไปทำในแนวทางนั้นด้วยอยู่พักหนึ่ง เพราะถูกปลูกฝังให้เชื่อคำพูดของหัวหน้าที่ประสบความสำเร็จในการขายมาแล้ว
แต่ในความโชคร้ายนั้น ก็ต้องยอมรับว่า การทำงานเป็นตัวแทนในแนวทาง “นักขาย” อยู่เกือบปี ก็ให้ประสบการณ์และทักษะในการพบเจอพูดคุยกับผู้คนของผมอยู่ไม่น้อย ทั้งการรับมือกับการถูกปฏิเสธ ถูกคนดูถูกดูแคลน (“เรียนมาตั้งสูง ทำไมมาเป็นแค่ตัวแทน”) สอนให้ผมเอาชนะความกลัว และกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ (เช่น การ “เคาะประตู” ขายประกันคุณหมอตามโรงพยาบาล) ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนตัวเองจากเดิมที่เป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น กลายมาเป็นคนที่สามารถพูดคุยกับคนหน้าใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขิน อดทน และรู้วิธีรับมือกับคำพูดต่างๆ ของผู้คนได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ไม่ได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาการเงินในแนวทางที่ต้องการ ก็เลยทำให้ผมตัดสินใจเริ่มที่จะศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าที่ปรึกษาการเงินที่แท้จริงคืออะไร มีวิธีการทำงานยังไง จนผมได้พบคอร์สที่สอนเรื่องการเป็นที่ปรึกษาการเงินต่างๆ โดยเฉพาะคอร์สที่สอนคุณวุฒิ CFP (Certified Financial Planner) โดย สมาคมนักวางแผนการเงินไทย จนได้เริ่มเรียน เริ่มสอบ เพื่อตามเก็บให้ได้คุณวุฒิ
มันทำให้ผมได้พบกับคำว่า “นักวางแผนการเงิน” เป็นครั้งแรก ซึ่งต่างจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่เคยรู้จัก ก็ตรงที่เราต้องเข้าใจภาพรวมทางการเงินทั้งหมดของลูกค้า และสามารถออกแบบ “กลยุทธ์” ที่เป็นแผนการเชื่อมโยงการเงินต่างๆ เหล่านั้น เพื่อพาลูกค้าไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ตั้งใจไว้ให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ “แนะนำ” สินค้าทางการเงิน ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าเท่านั้น
การได้รู้จักการเป็น “นักวางแผนการเงิน” ที่แท้จริง ทำให้ผมรู้ตัวว่า ผมไม่สามารถทำงานเป็นตัวแทนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนั้นได้อีกต่อไป ผมตัดสินใจ ออกจากหน่วยประกันที่สังกัด และพยายามหาทางสมัครเข้าไปทำงานใน “บริษัทที่ปรึกษาการเงินอิสระ” (Independent Financial Advisor : IFA) ต่างๆ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะบริษัทเหล่านั้นไม่ต้องการรับ คนที่ยังมีสัญญาตัวแทนอยู่กับหน่วยประกันอื่น (ผมต้องรอครบ 1 ปี จนกว่าสัญญาตัวแทนจะขาด) เนื่องจากที่ปรึกษาเหล่านั้นก็ต้องขึ้นทะเบียนเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันเดียวกัน จึงกลัวความขัดแย้งภายใน แถมพอได้เข้าไปรู้จัก ได้รู้ได้เห็นวิธีการทำงานของบริษัทเหล่านั้น ก็พบกับความจริงที่ว่า บริษัท IFA หลายๆ ที่ ก็ยังเน้นขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ค่าตอบแทนผู้แนะนำสูงๆ มากกว่าจะเน้นวางแผนองค์รวมเพื่อตอบโจทย์การเงินลูกค้าจริงๆ
ขณะที่ผมกำลังอับจนหนทาง ว่าเราคงไม่สามารถทำงานเป็นนักวางแผนการเงินได้ เพราะไม่มีที่ไหนเหมาะกับเราเลย ผมก็ได้รับคำแนะนำดีๆ จากรุ่นพี่ CFP ท่านหนึ่ง ซึ่งช่วยเปิดโลกทัศน์ในการทำงานให้ผมว่า
การเป็นนักวางแผนการเงินที่ดี มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก
อย่างทีม หรืออย่างบริษัทหรอก เพราะสุดท้าย มันอยู่ที่ตัวเราเองนั่นแหละ
เหมือนพบทางสว่าง เมื่อไม่มีใครให้โอกาสผม ผมจึงตัดสินใจ “สร้าง” โอกาสขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง ด้วยการ “รับจ้าง” เป็นนักวางแผนการเงินอิสระ ที่ไม่สังกัดหน่วยงานประกันชีวิตไหนๆ และจะให้บริการโดยยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก ก่อนผลประโยชน์ตัวเอง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ซึ่งพอได้มาทำงานในแนวทางเป็นนักวางแผนการเงินอิสระอย่างเต็มตัวแบบนี้ มันก็ทำให้ผมพบปัญหาและอุปสรรคมากมาย ยิ่งกว่าตอนเป็นตัวแทนซะอีก ไล่ตั้งแต่…
ผมเพียรพยายามอดทน ฝ่าฟัน หาทางออกเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ (ที่ไม่เคยมีสอนในตำราไหน รวมถึงในหลักสูตร CFP ด้วย) รวมไปถึงการ “เปิดเพจ” ให้ความรู้ทางการเงินแก่ผู้คน เพื่อสร้างเครดิตความน่าเชื่อให้ตัวเองร่วมไปด้วย ซึ่งยอมรับว่า แม้จะตอบโจทย์ทางการเงินและสร้างความพึงพอใจกับลูกค้าได้มากกว่าสมัยที่ยังเป็นตัวแทนประกันชีวิต แต่จำนวนลูกค้าที่หาได้ และผลตอบแทนที่ได้ เทียบกับต้นทุนและเวลาที่ต้องลงทุนลงแรงไป รวมถึงการที่ต้องคอยรักษาความคาดหวังของลูกค้า มันช่างชวนให้รู้สึกท้อแท้เสียเหลือเกิน และถ้ายังขืนทำอยู่แบบนี้ต่อไป ผมคงเอาตัวเองไม่รอด ก่อนที่คิดจะไปช่วยเหลือใครเสียอีก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจ “รามือ” จากการเป็นนักวางแผนการเงินอิสระไปชั่วคราว เพื่อไปหารายได้เสริมจากงานอื่นๆ ให้แข็งแรงเสียก่อน หากวันหนึ่งพร้อมมากกว่านี้ ก็อาจจะกลับมาลุยใหม่ พร้อมกับบทเรียนชีวิตของการเป็นนักวางแผนการเงินอิสระ ที่ได้เรียนรู้ว่า…
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 3 ปีในอาชีพนี้ แม้ผมจะเจออุปสรรคมากมาย แม้จะรู้สึกว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า “ประสบความสำเร็จในอาชีพ” เลยสักนิด และแม้มันจะไม่เคยเป็นอาชีพในฝัน (เพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน) แต่ผมก็ยังคงรู้สึกว่าอาชีพ “นักวางแผนการเงิน” คืออาชีพที่ “ใช่” สำหรับผมอยู่เสมอ เพราะถึงแม้จะมีช่วงเวลาที่ผมได้ไปทำงานอื่น ที่มีรายได้ดีกว่าอาชีพนี้มากมาย แต่ผมก็ยังคงคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ต่อหน้าลูกค้า ได้พูดคุย ทำความรู้จัก ได้ศึกษาเรื่องราวชีวิตของผู้คนมากมาย ที่เป็นบทเรียนผ่านคำบอกเล่าของพวกเขา
ได้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้เปิดอกระบายปัญหาชีวิตให้ฟัง ได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจ ทั้งต่อหน้า และทุกข้อความที่ส่งมาหาในเพจ ซึ่งผมรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้แหละ คือ “คุณค่า” ที่ทำให้ผมมีความสุข มีพลังใจอยากจะทำงาน อยากจะต่อสู้ ยอมที่จะเหนื่อยต่อไป อย่างที่ผมไม่สามารถหาได้ในงานอื่นๆที่เคยทำมา
ดังนั้น เมื่อผมได้รับโอกาสจากทีม Avenger Planner ที่ได้ชักชวนให้ผมกลับมาทำงานเป็นนักวางแผนการเงินอิสระ ในแนวทางที่เชื่อตรงกัน ในวันที่ผมกลับมามีความแข็งแกร่งทางการเงินมากกว่าเดิมอย่างในตอนนี้ จึงเป็นโอกาสที่ผมสามารถตอบตกลงได้ อย่างไม่ต้องลังเล
เพราะมันอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่ผมจะได้กลับมาทำงานที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับ “บ้าน” อันแสนอบอุ่นเสมอ… อีกครั้ง