
วางแผนอย่างไร ? หากซื้อบ้านแล้วอาจต้องขายในอนาคต
16/06/2025
เผยแพร่เมื่อ : 25 มิถุนายน 2568
สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่เพื่อนคลายเหงา แต่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวสำหรับใครหลายคน ความผูกพันระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงนั้นลึกซึ้ง และช่วยเติมเต็มชีวิตในหลากหลายด้าน เช่น บรรเทาความเครียด คลายเหงา ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกไม่โดดเดี่ยว หรือแม้แต่ช่วยเสริมสร้างความรับผิดชอบ และฝึกวินัยให้กับเด็กๆ
สำหรับนักวางแผนการเงิน ความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง มักสะท้อนอยู่ในงบประมาณรายจ่ายเสมอ ซึ่งหากไม่ได้เตรียมพร้อมล่วงหน้าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์นั้นสามารถเพิ่มขึ้นจนกระทบแผนชีวิตและแผนการเงินด้านอื่นได้
บทความนี้ขอพาทุกท่านมาเตรียมพร้อมกันครับ ว่าต้องจัดการประเด็นใดบ้าง
1. วางแผนงบประมาณ เตรียมเงินสำรอง ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
ทำได้โดย ประเมินค่าใช้จ่าย ประจำเดือน ค่าใช้จ่ายรายปี ไปข้างหน้า และ จัดเตรียมกองทุนเงินสำรองเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เพิ่มต่างหากจากของตัวเอง สำหรับใช้ในการดูแลน้อง ๆ
ถ้าเพิ่งเริ่มเลี้ยง ควรวางแผน ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ปีแรก ให้ครอบคลุมอุปกรณ์และการทำหมัน หลีกเลี่ยงการซื้อของเกินจำเป็น โดยเน้นของใช้ที่ทนทาน ใช้งานได้ยาว เราลองดูตัวอย่างงบประมาณกัน
รวมงบประมาณ : แบบสูง
- ขั้นต่ำ ประมาณ 29,000 บาท/ปี
- ปานกลาง ประมาณ 40,000 – 50,000 บาท/ปี
- พิเศษ อาจสูงถึง 60,000+ บาท/ปี
รวมงบประมาณ : แบบประหยัด
- ขั้นต่ำ ประมาณ 10,500 บาท/ปี
- ปานกลาง ประมาณ 12,000 – 15,000 บาท/ปี
หมายเหตุ : งบประมาณข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น ผู้อ่านควรประเมินงบประมาณให้สอดคล้องกับสัตว์เลี้ยง และรูปแบบการดูแลที่ใช้ด้วยตนเอง
โดยส่วนตัวผมแนะนำให้จัดสรร กองทุนเงินสำรองเพื่อสัตว์เลี้ยง อย่างน้อย 1 – 2 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี เช่นเดียวกับการวางแผนค่าใช้จ่ายของบุตรหลาน เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดและวางแผนระยะยาวได้อย่างสบายใจ
ซึ่งกองทุนนี้ก็อาจจะเก็บในแบบบัญชีออมทรัพย์พิเศษ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกลาง ที่สามารถให้ผลตอบแทนคาดหวัง 1-3% ต่อปี โดยทยอยเก็บจนครบ อาจแบ่งเก็บเป็นรายเดือน และเก็บเพิ่มเป็นพิเศษเมื่อมีรายได้ก้อนใหญ่ๆ เช่น โบนัส หรือ คอมมิชชั่น เข้ามาก็ได้
เมื่อเก็บครบตามจำนวนที่ตั้งใจแล้ว ก็สามารถหยุดเติมเงินได้ จะได้นำเงินไปใช้กับเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิตต่อไป โดยหากมีการใช้จ่ายเงินออกไปจากกองทุนนี้ ก็ควรหมั่นเติมให้เต็มอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนอยู่เสมอ
2. ใช้เครื่องมือทางการเงินช่วยจัดการความเสี่ยง
เครื่องมือสำคัญคือ ประกันภัยสัตว์เลี้ยง ซึ่งให้ความคุ้มครอง ค่ารักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยง เมื่อล้มป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ โดยเจ้าของจะจ่ายเบี้ยประกันรายปี (หรือรายเดือน) และสามารถเบิกค่ารักษาที่เข้าเงื่อนไขตามกรมธรรม์ได้
ความคุ้มครองที่พบได้ในแบบประกันโดยทั่วไป
- ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ เช่น ถูกรถชน, หกล้ม, โดนกัด
- ค่ารักษาโรคทั่วไป เช่น ป่วยจากไวรัส, ลำไส้อักเสบ, โรคผิวหนัง
- ค่าชดเชยกรณีสัตว์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จ่ายตามทุนประกัน
- ค่าฝากเลี้ยงกรณีเจ้าของเข้าโรงพยาบาล มีเป็นบางแผนเท่านั้น
- ค่าทำหมัน / ฉีดวัคซีน มีเป็นบางแผนเท่านั้น
สิ่งที่มักไม่คุ้มครอง
- โรคประจำตัว หรือโรคที่เกิดขึ้นก่อนทำประกัน
- การตั้งครรภ์ / คลอดลูก
- ศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม เช่น ตัดหาง, แต่งขน
- ความเสียหายจากเจ้าของจงใจละเลย
- สัตว์อื่นที่ไม่ใช่แมวหรือสุนัข
ทั้งนี้เบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับอายุ สายพันธุ์ สุขภาพสัตว์ และทุนประกันภัยที่เลือก
ตัวอย่างเบี้ยประกันสัตว์เลี้ยง
- สำหรับสุนัขและแมว อายุ 3 เดือน – 7 ปี (บางที่รับถึง 10 ปี)
- เบี้ยประกันเริ่มต้นประมาณ 2,000 – 8,000 บาท/ปี
- วงเงินคุ้มครองประมาณ 10,000 – 50,000 บาท/ปี
โดยสามารถซื้อประกันสัตว์เลี้ยงได้จากบริษัทประกันภัยต่างๆ อาทิ
- สินมั่นคงประกันภัย (Pet Insure)
- เมืองไทยประกันภัย
- ทิพยประกันภัย
- กรุงเทพประกันภัย
- Rabbit Care / Pet Protect (โบรกเกอร์ประกันภัย มีหลายแผนให้เลือก)
โดยการทำประกันภัยสัตว์เลี้ยงจะช่วยลดความกังวลค่าใช้จ่ายเมื่อน้องป่วย และ สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ดีกว่าการจ่ายเป็นครั้งๆ ด้วยตนเอง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์พันธุ์ที่มีความเสี่ยงเจ็บป่วยสูง เช่น ปั๊ก, เฟรนช์บูลด็อก, เปอร์เซีย เป็นต้น
3. การจัดสรรผู้ดูแลชั่วคราว
เมื่อเจ้าของต้องห่างบ้านเกิน 2-3 วัน จำเป็นต้องมี แผนรองรับสำหรับการดูแลสัตว์เลี้ยง เพราะสัตว์ต้องการอาหาร น้ำ ความสะอาด และการเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง มีแนวทางจัดการดังนี้
1. ฝากคนใกล้ชิดดูแล
- ญาติ เพื่อน หรือเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกับสัตว์
- แนะนำให้เขียน “คู่มือดูแลสัตว์” สั้นๆ เช่น เวลากินอาหาร ยี่ห้ออาหาร พฤติกรรมที่ควรระวัง
2. ใช้บริการ Pet Hotel / Pet Boarding
- ควรเลือกที่มีพนักงานดูแลตลอด 24 ชม. และมีรีวิวที่เชื่อถือได้
- ค่าใช้จ่ายประมาณ 300 – 800 บาท/คืน แล้วแต่สถานที่และขนาดสัตว์
3. Pet Sitter (ผู้ดูแลสัตว์ถึงบ้าน)
- เหมาะกับสัตว์ที่ติดบ้าน ไม่ชอบออกไปนอกสถานที่
- มีทั้งรายชั่วโมง หรือแวะมาให้อาหาร/พาเดินเล่นวันละ 1–2 ครั้ง
4. เทคโนโลยีช่วยดูแลระยะไกล
- ติดตั้งกล้องดูสัตว์เลี้ยงผ่านมือถือออนไลน์
- เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ และน้ำอัตโนมัติ (ใช้ได้แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น)
4. การจัดสรรผู้ดูแลต่อเมื่อเราไม่อยู่
ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่ เราจากไปแบบไม่สามารถดูแลน้องได้อีก เช่น ป่วยหนัก หรือเสียชีวิต
นี่คือประเด็นเจ้าของสัตว์ควรพิจารณาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อสัตว์เลี้ยงของคุณมีอายุยืน เช่น แมวอาจอยู่ได้ 15–20 ปี เป็นต้น
แนวทางวางแผนล่วงหน้า:
1. มอบหมายผู้ดูแลต่อ (Pet Guardian)
- พูดคุยและตกลงกับคนที่ไว้ใจ เช่น ครอบครัว เพื่อน ให้เขารับดูแลต่อ
- บางคนเขียนไว้ใน พินัยกรรม เพื่อให้ทายาทหรือผู้รับมรดกช่วยดูแลต่อ
2. วางแผน “กองทุนดูแลสัตว์หลังเจ้าของเสียชีวิต”
- เตรียมเงินไว้จำนวนหนึ่งสำหรับค่ารักษา อาหาร หรือค่าดูแลที่ผู้รับไปเลี้ยงต่อจะใช้
- อาจเปิดบัญชีแยกไว้ หรือฝากทรัพย์สินให้บุคคลที่ไว้ใจพร้อมเงื่อนไข
3. มูลนิธิหรือองค์กรรับดูแลสัตว์แทน
- มีบางองค์กรที่รับอุปการะสัตว์ที่เจ้าของเสียชีวิต เช่น
- ทั้งนี้ควรติดต่อสอบถามและลงทะเบียนไว้ล่วงหน้า
ข้อคิดและบทเรียน
1. การวางแผนทางการเงินนั้นสำคัญ แม้แต่การเลี้ยงสัตว์ที่บ้าน
การวางแผนที่ดี คือการเตรียมพร้อมให้สัตว์เลี้ยงมีชีวิตที่ดี แม้วันหนึ่งเจ้าของจะมีปัญหาเรื่องงาน รายได้ หรือเวลา
เพราะค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ตอนเริ่มต้น จะมีตามมาเรื่อยๆ ดังนั้น ต้องมีการ เตรียมเงินเผื่อฉุกเฉิน เมื่อสัตว์เจ็บป่วย เพื่อจะได้ไม่เกิดกรณีเลิกรักษาเพราะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว โดยอาจซื้อ ประกันสัตว์เลี้ยงหรือการออมเผื่อไว้ ก็จะช่วยลดภาระความกังวลและเงินในยามฉุกเฉินได้
2. ความสุขและความคุ้มค่าที่ได้รับจากการเลี้ยงสัตว์นั้นประเมินค่ามิได้
แม้จะมีค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบมากมาย แต่การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็ให้ ผลตอบแทนทางใจ ที่อาจ คุ้มค่าเกินตัวเลขในบัญชี
เพราะสัตว์เลี้ยงให้ความสุข ความรัก และความหมายกับชีวิตเราในทุกๆ วัน แค่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงกระดิกหาง เดินเข้ามาหา กลิ้งโชว์พุง ได้ลูบได้เล่นก็ช่วยลดความเครียด เหงา หรือวิตกกังวลได้อย่างน่าอัศจรรย์ น้องยัง เป็นเพื่อนแท้ของครอบครัว โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็กหรือผู้สูงวัย สัตว์เลี้ยงคือเพื่อนที่ช่วยเติมเต็มชีวิต
สำหรับตัวผู้เขียนซึ่งเป็นนักวางแผนการเงินที่เลี้ยงแมวหลายตัวที่บ้าน รวมถึงเพื่อนๆ นักวางแผนการเงินในทีม Avenger Planner นั้น พวกเราตระหนักถึงความสำคัญเรื่องนี้ และพร้อมจะนำเรื่องของสัตว์เลี้ยงทั้งหมดดังที่เขียนในบทความนี้ ไปผนวกเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเงินแบบองค์รวม เพื่อจัดทำให้กับลูกค้าทุกท่าน
หากท่านสนใจใช้บริการ สามารถคลิกที่ Link นี้เพื่อศึกษารายละเอียดได้เลยครับ